No drift
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !!

Go down

ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Empty ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !!

ตั้งหัวข้อ by Lucifer Fri Apr 01, 2011 3:46 pm

Credit : http://board.palungjit.com/f2/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99-planet-x-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87-253139-154.html#post4544154

:: By Sonic ::
The 12th Planet - ตอนที่ 5
Chapter Seven: The Epic of Creation

Enuma Elish

เรื่องราวทั้งหลายเริ่มต้นจากการพยายามอ่านจารึกของชาวอัคเคเดียนที่มีอายุประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Vorderasiatische Abteilung ในเบอร์ลินตะวันออก (ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนล่ะก็ลองถามหาแคตตาล็อกหมายเลข VA/243 จากภัณฑารักษ์เค้าดูนะครับ นายโซนิคเองคาดว่าคงไม่มีวาสนา) ตัวผนึก(Seal)มีรูปของวัตถุทรงกลม 11 ดวงรายล้อมทรงกลมดวงใหญ่ที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า ภาพลักษณะนี้เป็นที่คุ้นตานักโบราณคดีเป็นอย่างดีครับ ว่ามันคือตัวแทนของระบบสุริยะตามความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณ...

...ระบบสุริยะที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง


ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Picture%5C219255131912



ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Images?q=tbn:ANd9GcSEeUzVGx4AvtcEtACFg96Up8rKHZMP4TuEPhliNEF5-HiYcAz9



Some of The Seven Tablets of Creation



หนังสือชุด 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงมหากาพย์แห่งการสร้าง Enuma Elish ว่ามหากาพย์นี้หาใช่เทพตำนานตามที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเข้าใจไม่ หากแต่เป็นประวัติศาสตร์การก่อกำเนิดของโลกราหูใบนี้ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในรูปของเทพตำนาน ผู้ตีความต้องมีความเข้าใจทั้งในด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จึงจะจับจุดและตีความมันออกมาได้ (จริงไม่จริงพิจารณาเอานะครับ อย่าเผลอเป็นเนื้อชิ้นโตให้ผมตุ๋นเอาล่ะ ^^) มหากาพย์เรื่องนี้ซุกซ่อนความลับของดาวเคราะห์สีฟ้ากับบริวารที่มีนามว่าดวงจันทร์เอาไว้อย่างมิดชิด ความลับที่กล่าวถึงการชนกันอย่างมโหฬารของดาวเคราะห์สองดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันในนามของโลกหรือ Planet Earth...

ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่ถอดความมาจาก Seven Tablets of Creation ของดินแดนเมโสโปเตเมีย ชื่อของมันได้มาจากคำขึ้นต้นคำแรกของเรื่องคือคำว่า Enuma Elish ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า When in the heights

When in the heights…heaven had not been named…
And below, firm ground (Earth) had not been called.
เรื่องราวต่อจากนั้นของมหากาพย์ได้กล่าวถึงเทพเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ร่วมกันให้กำเนิดเทพองค์อื่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จำนวนของเทพเจ้าบนท้องฟ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทพรุ่นเยาว์เหล่านี้สร้างเสียงดังและความโกลาหลอยู่ไม่หยุดหย่อน ยังความรำคาญให้แก่บิดรเทพผู้ให้กำเนิดเป็นยิ่งนัก


ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Picture%5C219255132814



เนื้อหาในส่วนนี้กล่าวถึงกำเนิดของระบบสุริยะ ในความว่างเปล่าอันมหาไพศาลของห้วงอวกาศ เทพเจ้า(The Gods - The Planets)ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพเหล่านี้ถูกตั้งชื่อและกำหนดชะตากรรม (Destinies - อาจหมายถึงวงโคจร) ให้ดำรงอยู่เยี่ยงนั้นตลอดกาล น่าประหลาดใจมากครับที่ตำนานของชาวสุเมเรียนดันไปตรงกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ข้อหนึ่ง กล่าวคือในมหากาพย์อิลนูมา เอลลิช ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเทพเจ้า(หรือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ)ออกมาว่า เทพเจ้าถือกำเนิดจากละอองหมอก ซึ่งตรงกับทฤษฎีการกำเนิดดวงดาวที่ว่าดวงดาวในอวกาศเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มก๊าซที่ร้อนจัด ดาวเคราะห์บริวารในระบบใดๆจะมีวงโคจรรอบดาวแม่อยู่เช่นนั้นนิรันดร ซึ่งก็ตรงกันกับข้อความที่ว่าชะตากรรมและตำแหน่งของเทพเจ้าบนสวรรค์จะดำรงอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ผู้มีบทบาทสำคัญในตอนต้นของ The Epic of Creation นี้ประกอบไปด้วย Apsu (ผู้ถือกำเนิดก่อน), MUM.MU (ผู้กำเนิดขึ้น), และ Tiamat (สตรีแห่งชีวิต)

Apsu หมายถึงดวงอาทิตย์ และใกล้ๆตัวของ Apsu จะมีเทพนาม MUM.MU คอยสนองโองการอยู่ไม่ห่าง นอกจากนั้นยังทรงคอยทำหน้าที่คอยเป็นทูตส่งข่าวจาก Apsu ไปยังเทพองค์อื่นๆ คงพอจะเดาออกนะครับว่า MUM.MU หมายถึงดาวพุทธนั่นเอง ถ้าคุณยังจำเทพนิยายของกรีกและโรมันที่กล่าวถึงบทบาทของเทพ Mercury ได้ คุณก็คงพอจะนึกออกว่าแนวคิดเรื่องความไวและบทบาทของเทพแห่งการสื่อสารของ Mercury นี้ชาวกรีกโบราณเค้ารับการถ่ายทอดมาจากไหน

ถัดออกไปก็เป็น Tiamat นางเป็นอสูรร้ายในตำนานที่ถูกเทพมาร์ดุค(Marduk)สับร่างกายขาดเป็นชิ้นๆในเวลาต่อมา นางเป็นดวงดาวที่หายไปากสารบบดาวของชาวสุเมเรียน ถึงกระนั้นบทบาทของ Tiamat ก็นับว่ามีความสำคัญยิ่งครับ เพราะนางเป็นถึง 1 ใน 3 องค์ประกอบหลักของจักรวาล(ตามที่มหากาพย์กล่าวเอาไว้) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของน้ำแห่งชีวิต(ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสรรพชีวิตบนโลกถือกำเนิดมาจากน้ำ ซึ่งก็ตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ว่าชีวิตถือกำเนิดมาจากท้องทะเลอีก) และที่สำคัญคือเป็นต้นกำเนิดของเทพเจ้าคู่หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมา ณ ห้วงอวกาศที่อยู่ระหว่าง Apsu และ Tiamat

Their waters were mingled together…
Gods were formed in their midst:
God "LAH.MU" and God "LAHA.MU" were brought forth,
By name they were called....
ชื่อของเทพเจ้าทั้งสองที่กำเนิดขึ้นมานั้นมาจากรากศัพท์คำว่า LHM (ผู้ก่อสงคราม) ถ้าเราพิจารณาดีๆแล้วจะเห็นว่า บทบาทของเทพแห่งสงความของคนโบราณถูกยกให้แก่เทพเจ้าชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ก่อสงครามฝ่ายชายได้แก่พระอังคารหรือ Mars อันนี้คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะแนวคิดเรื่องเทพเจ้าแห่งสงครามองค์นี้ตรงกันในหลายๆวัฒนธรรม ส่วนเทพฝ่ายหญิงนั้นคุณๆคงนึกถึงเทวีพัลลัสอาธีนาของกรีก ซึ่งผิดครับ เทพผู้ก่อสงครามของชาวเมโสโปเตเมียหมายถึงดาวศุกร์ (Venus) ซึ่งรับควบไปสองตำแหน่งคือเป็นทั้งเทวีแห่งความรักและสงคราม

ในมหากาพย์เรียกเทพเจ้าหรือดวงดาวคู่นี้ว่า LAH.MU และ LAHA.MU อันเป็นชื่อของชายหญิงคู่หนึ่ง และหมายความถึงดาวอังคารและดาวศุกร์ตามลำดับ ซึ่งนอกจากจะให้ความหมายตรงตามตำนานเทพปกรณัมแล้ว ยังเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร-ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์อีกด้วย

สองสามย่อหน้าก่อนผมกล่าวถึงเทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ผู้อยู่ถัดจากดาวอังคารที่ได้หายไปจากสารบบใช่ไหมครับ มหากาพย์นี้ทำให้เราฉุกคิดถึงข้อสันนิษฐานทางดาราศาสตร์ข้อหนึ่งที่ว่า เคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอยู่ตรงนั้น และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ดาวดวงนั้นได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆคงเหลือแต่แถบดาวเคราะห์น้อยหรือ Asteriods Belt อยู่บริเวณนั้น ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกันในข้อที่ว่า มหากาพย์โบราณเรื่องนี้ที่ดูเผินๆเหมือนนิทานนั้น กลับมีข้อเท็จจริงตรงกับทฤษฎีทางดาราศาสตร์หลายข้อในปัจจุบันอย่างที่สุด อืมห์... ก็คงจะบังเอิญนั่นแหละครับ เพียงแต่มันบังเอิญบ่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า...

Before they had grown in age,
And in stature to an appointed size…
God "AN.SHAR" and God "KI.SHAR" were formed,
Surpassing them in size.
As lengthened the days and multiplied the years,
God "ANU" became their son….of his ancestors, a rival.
The "AN.SHAR’S" first-born "ANU",
As his equal and in his image begot "NU.DIM.MUD".
มหากาพย์บอกกับเราต่อไปว่า ขณะที่ดาวอังคารและดาวศุกร์กำลังก่อตัวเพื่อที่จะเป็นดาวเคราะห์ขนาดจำกัดนั้น มีดาวอีกคู่หนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้น เป็นดาวที่มีความสำคัญทั้งขนาดและศักดิ์ศรีในระบบสุริยะ (และรวมไปถึงความสำคัญในฐานะประมุขแห่งเทพเจ้าในเทพปกรณัมของหลายๆวัฒนธรรมอีกด้วย) ดาวคู่นั้นมีนามว่า AN.SHAR (มกุฏราชกุมาร ผู้มีความสำคัญที่สุดแห่งสรวงสวรรค์) และ KI.SHAR (ผู้เกิดก่อนดินแดนใดๆ) ซึ่งเมื่อดูจากสัญรูปที่ปรากฏในจารึกแล้วเทพเจ้าคู่นี้หมายถึงดาวเสาร์และดาวพฤหัสอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

เมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง เทพเจ้าอีกสามองค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพองค์แรกได้แก่ ANU เทพ ANU นี้มีขนาดเล็กกว่า AN.SHAR และ KI.SHAR แต่มีขนาดใหญ่กว่าเทพองค์แรกคือดาวพุทธ(หรือ MUM.MU) ถัดจากนั้น ANU ได้ให้กำเนิดดาวเคราะห์ซึ่งมีขนาดและรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับตนคือ NU.DIM.MUD หรือ EA/ENKI ที่ผมกล่าวถึงบทบาทของเทพองค์นี้ไปแล้วในบทแรกๆนั่นเอง

ถ้าให้คุณเดาต่อว่าเทพ ANU กับ ENKI นี่หมายถึงดาวเคราะห์คู่ไหน คุณก็คงบอกผมได้ไม่ยากนะครับว่าคือดาวยูเรนัส (Uranus) กับดาวเนปจูน (Neptune) นั่นเอง (ของกล้วยๆใช่มะ ^^)





แล้วถัดจากนั้นล่ะครับ ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจิ๋วที่เรารู้จักกันในนามของดาวพลูโต (Pluto) มหากาพย์ Enuma Elish ได้กล่าวถึงหรือไม่

ไม่มีดาวพลูโตครับ... ตรงกับข้อถกเถียงกันในวงการดาราศาสตร์ปัจจุบันว่า ดาวเคราะห์สองดวงอันได้แก่พลูโตและเซดน่านั้นควรหรือไม่ที่จะจัดให้อยู่ในสารบบดาวเคราะห์ในสุริยะจักรวาลของเรา (อันเนื่องมาจากขนาด พฤติกรรม และนิยามของคำว่าดาวเคราะห์ในทฤษฎีทางดาราศาสตร์นั่นแหละครับ) ถึงกระนั้นมหากาพย์เรื่องนี้ก็ยังมีบทของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งซึ่งมีนามว่า GA.GA ผู้ถือกำเนิดมาจากเทพ AN.SHAR หรือดาวเสาร์

แผนผังจักรวาลของชาวสุเมเรียนโบราณได้ให้ขนาดและความสำคัญของ GA.GA ให้เทียบชั้นได้กับ MUM.MU หรือดาวพุทธ ซึ่งในทางดาราศาสตร์แล้วดาวทั้งสองดวงนี้มีอะไรที่ออกจะคล้ายๆกันอยู่ แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ว่า ถ้าคนโบราณใช้สัญลักษณ์ของ GA.GA แทนดาวพลูโตจริงๆแล้วล่ะก็ เหตุไฉนพวกเขาจึงเอาตำแหน่งของดาวดวงนี้ไปวางถัดจากดาวเสาร์ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันควรจะอยู่ถัดจากดาวเนปจูนล่ะครับ เป็นไปได้ไหมว่าเทพ GA.GA ของชาวสุเมเรียนมีความหมายแทนดวงจันทร์ดวงใดดวงหนึ่งของดาวเสาร์ ซึ่งจัดว่ามีความสำคัญจนถึงขั้นถูกยกให้เป็นเทพเจ้าในสารบบแห่งสวรรค์ของพวกเขาในทำนองเดียวกับดวงจันทร์ของโลก ที่ถูกนับให้เป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งไปด้วย

เพื่อกันไม่ให้คุณสับสน เดี๋ยวเราจะมาไล่ลำดับของเทพเจ้าเปรียบเทียบกับลำดับของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะกันใหม่ เทพแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วได้แก่

Sun-APSU
Mercury-MUMMU
Venus-LAHAMU
Mars-LAHMU
TIAMAT
Jupiter-KISHAR
Saturn-ANSHAR
Pluto-GAGA
Uranus-ANU
Neptune-NUDIMMUD (EA)
ไล่ดูนะครับว่ายังขาดดาวเคราะห์ดวงไหนในระบบสุริยะไปอีก เท่าที่ดูๆแล้วก็น่าจะครบน่ะนะครับ ปฐมสมาชิกแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนในยุคปฐมกำเนิดก็ดูจะมีเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับแผนผังระบบสุริยะในปัจจุบันแล้วก็นับว่าเกือบครบ จะขาดไปก็เพียงแต่โลกของเราเท่านั้น...

เฮ้ย! แล้วโลก(รวมไปถึงดวงจันทร์)ของเราล่ะครับไปอยู่ซะที่ไหน โลกของเราไม่ใช่สมาชิกในช่วงปฐมกำเนิดของระบบสุริยะหรอกรึ?

Earth an The Moon

ตามตำนานของชาวสุเมเรียนกล่าวไว้ว่า โลกและดวงจันทร์อันเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยะ(ตามความเชื่อของพวกเขา)นั้นถูกสร้างขึ้นมาหลังสุดครับ แต่เป็นการสร้างที่ค่อนข้างน่าหวาดเสียวอยู่สักหน่อย คือสร้างการจากชนกันของดาวเคราะห์สองดวง

ระบบสุริยะในช่วงนั้นขาดความเสถียรเป็นอย่างมาก เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)แต่ละองค์ตกอยู่ในความโกลาหล โดยเฉพาะเมื่อเทพเจ้าองค์ใหม่แห่งระบบปรากฏตัวขึ้น พลังอำนาจและแรงดึงดูดที่กระทำต่อกันของเทพเจ้าในแต่ละวงโคจรจึงเริ่มปั่นป่วนเกินจะควบคุมได้ ความรุนแรงของเหตุการณ์นี้สร้างความตระหนกให้กับสุริยเทพ Apsu เป็นยิ่งนัก มากไปกว่านั้นบทหนักของการถูกรบกวนจากแรงดึงดูดล้วนไปตกอยู่ที่ Tiamat หนึ่งในเทพผู้สร้างดั้งเดิมทั้งสาม

เพื่อไม่ให้สถานการณ์ร้ายแรงไปกว่านั้น เหล่าเทพจึงได้เรียกเทพองค์ใหม่มาสร้างความสันติให้บังเกิดแก่ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ผู้มีเทวานุภาพเป็นรองเพียงแต่สุริยเทพ Apsu เทพองค์นี้ก่อตัวขึ้นในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ตามปกติแล้วเทพองค์นี้มีชะตากรรม(หมายถึงวงโคจร)ที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่เมื่อระบบสุริยะเกิดความปั่นป่วนเสียสมดุลย์ เทพองค์นี้จึงถูกแรงดึงดูดดึงเข้ามายังระบบสุริยะ และตามตำนานกล่าวไว้ว่าเทพ(ดาวเคราะห์)ที่ส่งผลในการดึงเทพองค์ใหม่เข้ามานี้คือดาวเนปจูน (NUDIMMUD) ถ้าคุณได้อ่าน Enuma Elish ฉบับการ์ตูนที่ผมเอาไปโพสต์ไว้ในเว็บบอร์ด คุณก็คงรู้แล้วนะครับว่านามของเทพองค์นี้ก็คือ Marduk หรือ Nibiru นั่นเอง

In the Chamber of Fates, the place of Destinies…
A God was engendered…..most able and wisest of the Gods…
In the heart of the deep…..was "MARDUK" created…
ด้วยการปรากฏกายจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น Marduk ยังอยู่ในฐานะของเทพที่เพิ่งกำเนิดใหม่ ทรงเพ่นความร้อนแรงจากเปลวไฟและรังสีไปรอบทิศ ตามตำนานกล่าวว่า อาภรณ์อันทรงรัศมีของ Marduk เกิดจากการประทานของเทพทั้งสิบแห่งระบบสุริยะ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตรงนี้เป็นเรื่องของภาษาพาไปหรือว่าหมายถึงความปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก ที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้กระทำแก่กันในช่วงเกิดกลียุค แต่ผลสรุปก็คือ Marduk ถูกดึงเข้าสู่แกนกลางของระบบสุริยะอย่างช้าๆ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดหมายปลายทาง



ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! 22139_1_display

ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! NIBIRU




ภาพแสดงการเข้าสู่ระบบสุริยะของ Marduk/Nibiru



การเข้าสู่ระบบสุริยะของเทพองค์นี้นับว่าสร้างความครื้นเครงจนสวรรค์แทบถล่ม เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูน(NUDIMMUD) สนามแม่เหล็กระหว่างสองดาวเคราะห์ได้เกิดแรงกระทำระหว่างกันขึ้น ฤทธิ์ของเนปจูนทำให้ร่างของ Marduk ร้าวปูดออกมาแต่ก็ไม่ถึงกับหลุดแยกออกจากร่างกายหลัก แต่พอเฉียดเข้าใกล้ยูเรนัส (เทพบิดร Anu) เท่านั้นแหละครับ แผลที่เดิมที่เกิดก็ฉีกควากออกทันที ผลก็คือส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้ได้หลุดออกทั้งกระบิ และแยกตัวออกเป็นสี่ส่วนโคจรรอบดาวแม่ในลักษณะของดาวบริวารไปเลย

ตามตำนานกล่าวว่า ANU/Uranus เป็นผู้บันดาลพลังให้กับ Marduk โดยเสกลมทั้งสี่ทิศห่อหุ้มเทพองค์ใหม่เอาไว้ ลมทั้งสี่ต่างพากันหมุนวนเป็นวงโคจรรอบกายของ Marduk อย่างรวดเร็วประหนึ่งวรกายของ Marduk สวมใส่อาภรณ์ที่ถักทอจากพายุหมุนอันบ้าคลั่ง

เอาล่ะครับ เรามาไล่ลำดับที่ Marduk ทรงโคจรผ่านกันอีกทีหนึ่งดีกว่า เริ่มจาก Neptune/NUDIMMUD จากนั้นก็เป็น ANU/Uranus เป็นลำดับที่สอง มีข้อสังเกตจากตำนานอีกอย่างหนึ่งคือ Marduk ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ไปด้านซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกา หากแต่โคจรหมุนขวาตามเข็มซึ่งนับว่าพิศดารผิดจารีตของดาวเคราะหบริวาร์ทุกดวง!

...อย่างเชื่องช้า Marduk โคจรผ่านสองยักษ์ใหญ่แห่งระบบสุริยะ ANSHAR/Saturn และ KISHAR/Jupiter ตามลำดับ และตรงดิ่งสู่แกนกลางของระบบเข้าไปเรื่อยๆ หากวิถีของเทพองค์นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วล่ะก็ Marduk จะไปชนกับดาวเคราะห์ Tiamat อย่างไม่ต้องสงสัย


ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! 07552



TIAMAT และ KINGU



การมาถึงของ Marduk สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงอวกาศรอบ Tiamat และดาวเคราะห์ชั้นในอีกสามดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร แรงกระทำที่เกิดขึ้นรุนแรงราวกับจะฉีกห้วงอวกาศรายรอบออกเป็นชิ้นๆ Tiamat โดนรบกวนอย่างหนักและเริ่มเสียเสถียรภาพราวกับตกอยู่ในวังวนของพายุ

ตามตำนานแล้ว Tiamat ป้องกันการโจมตีของ Marduk ด้วยการสร้างมอนสเตอร์จากชิ้นส่วนของตนเองจำนวน 11 ตน จากนั้นจึงบัญชาให้มอนสเตอร์เหล่านั้นเข้าโรมรันกับเทพองค์ใหม่ Marduk ระหว่างที่เทพทั้งสองโคจรเข้าใกล้กัน เปลวเพลิงอันโชติช่วงได้ลุกไหม้แผ่รังสีไปรอบอาณาบริเวณ ซึ่งตรงนี้นะครับ หากมองอย่างหนังวิทยาศาสตร์แล้วล่ะก็ มอนสเตอร์ที่ถูกสร้างจากร่างกายของ Tiamat ก็น่าจะหมายถึงดวงจันทร์บริวารหรือไม่ก็ชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ Tiamat ซึ่งแยกตัวออกจากดาวแม่เนื่องจากความรุนแรงของสนามแม่เหล็ก




ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! 104171014 ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! A9(3)




Tiamat เทวีผู้รับบทมังกรร้ายในเทพนิยายและอีกหลายๆเกมส์ในยุคนี้



ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ในบรรดาดวงจันทร์บริวารของ Tiamat นั้นมีอยู่ดวงหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า KINGU ซึ่งเจ้า Kingu นี้ตามตำนานกล่าวว่าเป็นเทพอีกองค์หนึ่งซึ่ง Tiamat ได้สร้างขึ้นจากร่างกายของนางเอง

She exalted KINGU,
In their midst, she made him great….
The High command of the battle,
She entrusted into his hand….
ด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลที่ดาวเคราะห์สองดวงกระทำต่อกัน ดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ดวงนี้เลยเคลื่อนตัวเข้าหาดาวเคราะห์ Marduk อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้ ซึ่งนี่เป็นการเปลี่ยนฐานะของ KINGU จากเดิมที่เป็นเพียงดาวเคราะห์บริวารมาเป็น tablet of destinies แน่นอนครับว่าเหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ดวงอื่นๆในระบบ



ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Images?q=tbn:ANd9GcTfXy3pDIn0GAWoP8o2pQUX1SMwFswpvcJKj-SI0-8Y4COFmTtc ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Images?q=tbn:ANd9GcRBZcXQhb_hEASOx3AARC0655INdAnFBxySS4hDXaEl_TXzd_aAIw



เทพ Marduk โปรดสังเกตสัญลักษณ์กางเขนของ planet of the Cross



เมื่อดาวเคราะห์ดวงใหม่(KINGU)ถือกำเนิดขึ้นในลำดับที่สี่ของระบบ ความเสถียรที่เคยมีอยู่เดิมก็เริ่มปั่นป่วนสิครับ เหล่าเทพเจ้าถกเถียงกันว่าใครกันที่ให้สิทธิ์แก่ TIAMAT ในการถือกำเนิดดาวเคราะห์ดวงใหม่แบบนี้ เทพ Neptune/NIMMUDUD รู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง เลยตัดสินใจนำปัญหานี้ไปปรึกษากับ Saturn/ANSHAR รายละเอียดของการหารือนี้ไม่เป็นที่ปรากฏเนื่องจากแผ่นจารึกที่กล่าวถึงตอนนี้ชำรุดครับ เลยได้แต่เดาๆกันไปเองว่าทั้งคู่ปรึกษาอะไรกันบ้าง แต่ผลสรุปของการหารือในครั้งนี้ก็คือจะต้องมีใครทำอะไรซักอย่างกับ KINGU และ TIAMAT ม่ายอย่างนั้นระบบสุริยะมีปัญหาแน่

ถ้าอ่านแล้วงงก็ทำใจหน่อยนะครับ เพราะบทนี้ผมจะพูดปนๆกันไประหว่างตำนานและการตีความ โดยจะสรุปเอา ไม่เล่าแบบการแปลบรรทัดต่อบรรทัด(ซึ่งแน่นอนว่าให้รายละเอียดที่ครบถ้วนมากกว่า แต่ผมไม่สะดวกเรื่องเวลาที่จะทำแบบนั้น ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ^^)

ว่าแต่ใครกันล่ะที่จะยอมเผชิญหน้ากับ TIAMAT? แม้แต่บิดรเทพ Uranus/ANU เองก็ยังส่ายหัวไม่เอาด้วย พระองค์ให้เหตุผลว่า TIAMAT น่ะจะเข้าไปพบนางเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไปแล้วกลับไม่ได้นี่สิ...ที่เป็นปัญหา ก็เห็นจะจริงล่ะครับ ขืนพุ่งเข้าไปเป็นมีปัญหากับดวงอาทิตย์แน่ๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันล่ะ?

Earth an The Moon

เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูนและยูเรนัสไปและเข้าใกล้วงแหวนของ ANSHAR/Saturn (ถึงบอกไงว่ามันเป็นตำนานที่น่าทึ่ง เพราะต่อให้ตัดเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศออกไป คนโบราณเหล่านี้ก็ยังมหัศจรรย์อยู่ดีที่พวกเขารู้ว่าดาวเสาร์มีวงแหวน) ANSHAR/Saturn จึงปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันทีครับว่าจะจัดการกับ TIAMAT ซึ่งกำลังสร้างปัญหานี้อย่างไรดี กุญแจสำคัญของการนี้อยู่ที่ดาวเคราะห์ยักษ์ที่ชื่อ MARDUK/NIBIRU นี่แหละ

ตามปกติแล้ว MARDUK กับ TIAMAT จะไม่มีวันจ๊ะเอ๋กันได้เลย เนื่องจากวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของ Marduk นั้นกินรัศมีกว้างมาก กว้างกว่าดาวเคราะห์บริวารดวงใดๆในระบบสุริยะ ทว่าด้วยแผนของ ANSHAR/Saturn วงโคจรของ Marduk เลยเบี่ยงไปจากเดิมเล็กน้อย

ผมเข้าใจว่าแผนดังกล่าวเป็นเพียงการต่อเติมของคนโบราณครับ เรื่องของเรื่องคือเมื่อสนามแม่เหล็กเกิดผันผวนวงโคจรของ Marduk ก็เลยเบี่ยงไปอย่างที่กล่าวไปแล้ว หลังจากผ่านดาวยูเรนัสกับเนปจูนมาได้ Marduk ก็มาเฉียดยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์(ANSHAR)เข้าให้ ยังผลให้ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ดวงหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง และหลุดออกไปเป็นดาวเคราะห์อิสระอีกดวงคือ Pluto/GAGA ในที่สุด

...แต่ตรงนี้ก็มีคนแย้งขึ้นมาเยอะเหมือนกันครับว่า Zecharia Sitchin ให้คำอธิบายการกำเนิดดาวพลูโตแบบตีขลุมเกินไป เพราะในแผนผังระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นไม่ได้ระบุถึงดาวพลูโต ณ ตำแหน่งปัจจุบันของมันเลยแม้แต่น้อย...


เป็นไปได้ไหมว่า ชาวสุเมเรียนโบราณไม่ได้นับพลูโตเป็นดาวเคราะห์อย่างที่พวกเรานับกัน ว่ากันตามตรงนักดาราศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังเถียงกันอยู่เลยครับว่าพลูโต (รวมทั้งน้องใหม่อย่าเซดนา) ควรได้รับการนิยามว่าเป็นดาวเคราะห์หรือไม่ เนื่องจากในตอนค้นพบพลูโตนั้นวงการดาราศาสตร์กระหายอยู่แล้ว ที่จะค้นหาดาวบริวารดวงถัดๆไปของดวงอาทิตย์ อีกทั้งเลข 9 ก็เป้นเลขที่สวยงามตามความเชื่อของมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าพลูโตจะเข้าข่ายของดาวเคราะห์หรือไม่ พลูโตก็ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธตำแหน่งบริวารหมายเลข 9 ของดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน

...และที่ Sitchin ตีความตำนานการกำเนิดของ Pluto ออกมาอย่างนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์(ในสมัยที่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้) หรืออีกนัยหนึ่งพยายามหาดาวเคราะห์มาให้ครบ 9 ดวงเท่านั้นเอง แต่นี่เป้นเพียงข้อสันนิษฐานของนายโซนิคเท่านั้นนะครับ เท็จจริงอย่างไรไม่ขอยืนยัน ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Regular-smile


ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Attachment




การเผชิญหน้าระหว่าง Marduk กับ Tiamat



โม้อยู่ตั้งนานมาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ...

GAGA ชักนำเทพอื่นๆเพื่อกระตุ้นให้ Marduk เบี่ยงวงโคจร เทพทั้งหลายลงมติเห็นชอบและเชียร์ Marduk กันอย่างอื้ออึง เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วระบบสุริยะ Marduk ผู้ถูกยกให้เป็นจอมราชันย์องค์ใหม่เริ่มเปลี่ยนเส้นทางเดิมของตน และมุ่งหน้าอย่างฮึกเหิมเพื่อปลิดชีพของ TIAMAT ผู้กำลังสร้างความปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างผนึกกำลังส่งแรงดึงดูดเพื่อกำหนดวงโคจรใหม่ของ Marduk วงโคจรที่จะสร้างความสะเทือนไปทั่วระบบสุริยะ เพราะปลายสุดของการเดินทางนั้นอยู่ที่การโรมรัน(หรืออีกนัยหนึ่งการชน)กับอสูรร้าย TIAMAT!

ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงเริ่มปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่กัน แรงดึงดูดอันมหาศาลที่กระทำต่อกันเริ่มแผ่เป็นตาข่ายมหึมา และทั้งคู่ก็เคลื่อนที่เข้าใกล้กันทีละน้อยละน้อย...

ตำนานกล่าวเอาไว้ว่าอาวุธหลักที่ Marduk ใช้โรมรันกับ TIAMAT คือดาวบริวารของพระองค์อันเป็นสายลมทั้งสี่ที่ได้รับการประทานมาจาก Uranus/ANU คือ ลมใต้ ลมเหนือ ลมตะวันออกและ ลมตะวันตกตามลำดับ (คงหมายถึงชื่อของดวงจันทร์ ไม่ใช่สายลมจริงๆ) แถมตอนที่ Marduk โคจรผ่านยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์และดาวพฤหัสมานั้น Marduk ทรงได้รับอาวุธอันเปนดวงจันทร์เพิ่มมาอีกสามดวง ดวงจันทร์ทั้งสามที่กลายมาเป็นบริวารใหม่ของ Marduk อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดนั้นได้แก่ ลมร้าย ลมหมุน และลมไร้พ่าย(Matchless wind)


ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! X_smash_earth1



เมื่อลมเหนือ(Northwind)ชน TIAMAT เข้า เทหวัตถุ 2 ชนิดก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
หนึ่งคือโลก อีกหนึ่งคือ Asteroid Belt



กล่าวโดยสรุป เมื่อระบบสุริยะเกิดไม่เสถียรขึ้นทำให้ดวงอาทิตย์และดาวบริวารทั้งเก้า ต้องเผชิญกับดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งมีวิถีการโคจรคล้ายดาวหาง ดาวดวงนี้มาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมุ่งหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ในตอนแรกดาวดวงนี้นี้โคจรผ่านดาวเนปจูน จากนั้นจึงเป็นดาวยูเรนัส ดาวเสาร์และดาวพฤหัส จากแรงกระทำต่างๆทำให้ดาวยักษ์ดวงนี้มีบริวารเพิ่มขึ้นมาอีก 7 ดวง และอย่างไม่มีทางเลือก ดาวยักษ์ดวงนี้ต้องชนกับดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า TIAMAT ซึ่งบังเอิญมาขวางวงโคจรของมันเข้า

บังเอิญว่าดาวเคราะห์สองดวงนั้นไม่ได้ชนกันครับ (ถ้าชนจริง ป่านนี้ก็ไม่มีเราแล้วแหละ ^^) แม้ตำนานจะว่าอย่างนั้นแตในความเป็นจริงแล้วดวงจันทร์ของ Marduk ต่างหากครับที่ชน ไม่ใช่ตัวของ Marduk เองอย่างที่ตำนานกล่าวเอาไว้ การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Marduk และ TIAMAT ทำให้ตัวเธอปริแตกอย่างน่ากลัว เนื้อเรื่องส่วนนี้กลับมาตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ซึ่งผมจะกล่าวถึงในภายหลังครับ

ตามปกติแล้ววงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์จะมีลักษณะเกือบเป็นวงกลม (ยกเว้นพลูโต) ส่วนวงโคจรของดาวหาง(ซึ่งก็เป็นบริวารของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน)กับยืดออกในลักษณะคล้ายวงรี ดาวหางเกือบทั้งหมดมีวงโคจรที่ยาวมากๆ จนหลายครั้งที่ดาวหางเหล่านั้นจะโคจรผ่านจุดที่เราไม่อาจสังเกตเห็นได้นับร้อยนับพันปี จนกว่ามันจะโคจรกลับเข้ามาเฉียดโลกอีกครั้ง

The Comets...




อย่างที่กล่าวไปแล้วนะครับว่าดาวเคราะห์ทุกดวงยกเว้นพลูโตนั้น มีวงโคจรในลักษณะเดียวกันและเกือบอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งสิ้น แต่ดาวหางกลับมีระนาบการโคจรที่แตกต่างกันไปในแต่ละดวง ที่น่าสังเกตก็คือ ในขณะที่ดาวเคราะห์โคจรเป็นวงกลมรอบดวงอาทิตย์ในทิศทวนเข็มนาฬิกา ดาวหางกลับโคจรในทิศทางที่สวนกับดาวเคราะห์ ทั้งที่มันก็โคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนๆกัน คำถามก็คือทำไม

นักดาราศาสตร์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีพลังงานบางอย่าง หรืออุบัติกาลอันรุนแรงบางประการที่สร้างดาวหางเหล่านี้ขึ้น และเหวี่ยงมันเข้าสู่วงโคจรอันแปลกประหลาดนี้ เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นกำเนิดของดาวหางบริวารผู้งดงามแห่งระบบสุริยะนั้นคือ Marduk

มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะครับ เพราะพี่แกโคจรแบบสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ด้วยขนาดอันมหึมาและแรงดึงดูดอันมหาศาล เมื่อผ่านบริเวณใด Marduk กว่ากวาดเทหวัตถุใหญ่น้อยตามรายทางเสียราบเรียบ จนกระทั่งร้าวและแตกออกเมื่อชนกับ TIAMAT เข้า เศษชิ้นส่วนจาก Marduk จึงกลายมาเป็นดาวหาง แรงกระทำของ Marduk ยังคงมีผลกับเศษดาวเหล่านี้ ทำให้วงโคจรของพวกมันแปลกประหลาดไปจากดาวเคราะห์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี่แหละครับ

ตำนานกล่าวต่อไปว่าหลังจากการต่อสู้จบลง Marduk ได้กลายเป็นเทพเหนือเทพ และคงสถิตย์อยู่บนสวรรค์ตราบนานเท่านาน ซึ่งเราพอจะอนุมานได้ว่า Marduk/Nibiru ชนะศึก TIAMAT แต่พ่ายต่อแรงดึงดูดของ APSU หรือดวงอาทิตย์ ทำให้ Marduk ต้องแปรสภาพจากดาวจรมาเป็นบริวารของดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง และยังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์มาจนถึงทุกวันนี้

ข้อมูลจาก Genesis

หลังจากปราบ TIAMAT ลงได้ เทพ Marduk ก็ได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์... อวกาศชั้นนอก โคจรรอบ APSU หรือดวงอาทิตย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุบัติเหตุทางแรงดึงดูดโดยแท้

หลังจากปรากฏการณ์อันสะเทือนจักรวาลนี้มีอะไรต่อ? ท่านที่คุ้นเคยกับ Epic of Creation ก็คงจะตอบได้นะครับ ว่าเป็นตำนานการสร้างโลกของ Marduk เช่นการสร้างมนุษย์ สัตว์ และสรรพสิ่งตามสไตล์ Mythology โบราณเขาล่ะ ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนได้เค้าเงื่อนสำคัญ เพราะถ้าว่าถึงตำนานแห่งการสร้างแล้ว คงไม่มีตำนานไหนตรึงใจและได้รายละเอียดเท่ากับบทบาทการสร้างโลกของพระยะโฮวาในบท Genesis ของไบเบิล

ปัจจุบันนักวิชาการหลายคนยอมรับแล้วครับว่า Genesis มีส่วนคล้ายคลึงกับตำนานการสร้างของชาวสุเมเรียนอยู่ไม่น้อย และเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงใครเอามาจากใคร ฮีบรูว์หรือสุเมเรียน เพราะถ้านับอายุแล้วสุเมเรียนเก่ากว่าเห็นๆ ประเด็นนี้เอาไว้ถกกันทีหลังเถิดครับ ทราบกันแต่ว่า หลังจาก Enuma Elish จบลง Genesis ก็เข้ามาสานต่อเรื่องราวได้พอดิบพอดีราวกับเป็นภาคต่อกันยังไงยังงั้นเลย ^^

ตำนานกล่าวต่อไปว่า ชิ้นส่วนของ TIAMAT ได้กลายมาเป็นโลกที่เราอยู่อาศัยในปัจจุบัน นั่นหมายถึงแรงปะทะระหว่างดาวเคราะห์ทั้งสอง Marduk - TIAMAT (จริงๆแล้วที่ชนคือดวงจันทร์ของ Marduk นามว่า North Wind) ทำให้ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของ TIAMAT ส่วนหนึ่งถูกผลักเข้าไปยังวงโคจรซึ่งไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดโคจรอยู่ในตอนนั้น และในที่สุดก็กลายมาเป็นดาวเคราะห์บิดๆเบี้ยวนามว่าโลกดังปัจจุบัน ดังที่ตำนานว่าไว้ว่า "destined to become the Earth"…





กำเนิดของ Asteroid Belt

การชนของ Marduk ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่นๆอีก ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นรอบที่สองนั้น Marduk เป็นฝ่ายชนเศษส่วนที่เหลือของ TIAMAT ด้วยตนเอง ชิ้นส่วนเหล่านั้นกระจัดกระจายกลายมาเป็นกำไลอันสวยงามแห่งสรวงสวรรค์ กำลังดังกล่าวทำหน้าที่เป็นฉากกั้นกลางระหว่างหมู่เทพเจ้าที่อยู่ชั้นในและชั้นนอกของสรวงสวรรค์...

...กำไลสวรรค์ตามตำนานจะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ Asteroid Belt หรือกลุ่มดาวเคราะห์น้อยในปัจจุบัน (เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านตั้งสมมติฐานว่า ต้นกำเนิดของดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้นน่าจะมาจากการระเบิดของดาวเคราะห์บางดวง ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อมันเอาไว้สวยหรูว่าเฟอีธอน สมมติฐานดังกล่าวใกล้เคียงกับเรื่องเล่าเก่าเก็บของเมโสโปเตเมียเมื่อเกือบหมื่นปีก่อนมากๆ รายละเอียดอ่านได้จากลิงค์นี้ครับ http://www.thai.net/myth/mytpln/mytpln_1.htm)

ไม่ว่าคุณจะเลือกเชื่อนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันหรือตำนานของคนโบราณ (หรือไม่เชื่อฝ่ายใดเลย รับฟังเฉยๆอย่างผม ^^) ข้อสรุปที่พ้องต้องตรงกันก็คือ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่แบ่งดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นในได้แก่ ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, โลกกับดวงจันทร์ และดาวอังคาร ส่วนกลุ่มที่สองเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นนอกซึ่งนับจากดาวพฤหัสเป็นต้นไป ดาวเคราะห์ทั้งสองกลุ่มถูกกั้นด้วยฉากตามธรรมชาติที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณเรียกว่ากำไลสวรรค์ ในขณะที่พวกเราปัจจุบันรู้จักมันในนามของ Asteroid Belt ครับ ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Regular-smile


ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Planetx_orbit_path1



กำไลแห่งสวรรค์ Asteroid Belt ที่เป็นเส้นกั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในและชั้นนอก
Lucifer
Lucifer
Admin

จำนวนข้อความ : 117
Points : 177
Join date : 28/03/2011
Age : 39

https://pandrift.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Empty Re: ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !!

ตั้งหัวข้อ by Lucifer Fri Apr 01, 2011 4:40 pm

Marduk / Nibiru
แรกทีเดียวนักสุเมเรียนวิทยาเชื่อกันว่า MARDUK หมายถึงดาวเหนือ (North Star) หรือไม่ก็ดาวฤกษ์ซักดวงที่สว่างเอามากๆที่ชาวสุเมเรียนโบราณสามารถสังเกตเห็นได้ในช่วงฤดูร้อน ทั้งนี้เพราะในตำนานเน้นเหลือเกินว่าวรกายของจอมเทพมาร์ดุคเปล่งแสงเจิดจ้ากลางสรวงสวรรค์ แต่เทพเจ้าองค์นี้จะทรงเป็นดาวเหนือหรือดาวฤกษ์ได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อตำนานระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามาร์ดุคทรงเป็นสมาชิกดวงหนึ่งของระบบสุริยะด้วย

อันเนื่องมาจากจารึกบางชิ้นพรรณนาถึง MARDUK ว่าเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่โตกว่าดวงอื่นๆ แถมมีแสงสว่างเจิดจ้ากว่าใครเพื่อน ดังนั้นนักโบราณคดีบางคนจึงสงสัยว่า MARDUK ที่ปรากฏในตำนานของบาบิโลเนียน(ที่ถ้าเทียบบทบาทกันฉากต่อฉากแล้ว ก็เทียบได้กับสุริยเทพ Ra ของอียิปต์)อาจหมายถึงดวงอาทิตย์ก็เป็นได้ นักโบราณคดีบางคนมั่นใจจนถึงกับยกข้อความสรรเสริญ MRADUK ในจารึกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ว่า MARDUK ทรง "**censor**ส่องทั่วห้วงสรวงสวรรค์จากเบื้องสูง ทรงรัศมีเจิดจ้าเป็นอาภรณ์ ให้แสงสว่างอันอบอุ่นจรรโลงใจ" ไอ้ข้อความทำนองนี้น่ะมันบทสวดสรรเสริญสุริยะเทพชัดๆ ท่านว่าอย่างอย่างนั้นน่ะนะ...

ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรครับ ที่หนังสืออารยธรรมบางเล่มที่คุณจับกล่าวถึง MARDUK ในบทบาทของสุริยเทพ บางเล่มเอาไปรวมกับ Shamash ซึ่งเป็นคนละองค์กัน ทำไมถึงว่าอย่างนั้นน่ะหรือครับ ก็บทสรรเสริญเจ้ากรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นยังมีข้อความต่ออีกน่ะซีครับว่า MARDUK ทรง"สัญจรไปทั่วดินแดนต่างๆประหนึ่ง SHAMASH"

SHAMASH หรือ UTU เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ที่ผมเคยเล่าไปในตอนก่อนๆ ยังจำได้ใช่ไหมครับ?

ดังนั้น ถ้า MARDUK เปรียบประหนึ่งดวงอาทิตย์ทั้งรูปลักษณ์และพฤติกรรม ก็ย่อมหมายความว่าเทพเจ้าองค์นี้เพียงแต่"คล้ายกับ"ดวงอาทิตย์เท่านั้น ไม่ได้ทรงเป็นดวงอาทิตย์เสียเองอย่างที่นักโบราณคดีบางคนเชื่อ และที่พวกเขาเลือกเชื่อหรือเสนอทฤษฎีอย่างนั้นขึ้นมาก็เพราะ MARDUK เป็นตัวแทนของดาวเคราะห์บางดวงที่ไม่มีในสารบบดาวสมัยใหม่ของพวกเรา เรื่องนี้จึงอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่

นักวิชาการผู้พะอืดพะอมกับทฤษฎี Planet X จึงได้เริ่มมองหาดาวเคราะห์ดวงอื่นที่พอจะเป็นตัวแทนของ MARDUK ได้ (เพราะผลสรุปออกมาแล้วนี่ครับว่าบ่ใช่ดวงอาทิตย์) ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่า แม้จะรับไม่ได้กับเรื่องของดาวเคราะห์อันไม่ปรากฏในสารบบดาราศาสตร์ปัจจุบันเพียงไรก็ตาม ความรู้ความสามารถของบรรพชนแห่งตะวันออกกลางกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามเสียง่ายๆ เพราะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าความรู้ของคนโบราณเหล่านี้เที่ยงตรงไม่โมเม ดังนั้นนักวิชาการบางกลุ่มเสนอว่า MARDUK อาจหมายถึงดาวเสาร์ ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าเป็นดาวอังคาร

เป็นตัวเลือกที่ดีครับน่าเสียดายที่ไม่ใช่ เพราะจารึกโบราณระบุตำแหน่งของ MARDUK ว่าอยู่กึ่งกลางของสวรรค์ ตัวเลือกใหม่ของนักวิชาการผู้ไม่เชื่อทฤษฎี Planet X จึงเกิดขึ้น ตัวเลือกดังกล่าวคือดาวพฤหัสยักษ์ใหญ่ของระบบสุริยะ โดยมีสองเหตุผลยกมาสนับสนุนอันได้แก่ ขนาดอันใหญ่โตของ MARDUK ซึ่งสอดคล้องกับขนาดของดาวพฤหัส และอีกเหตุผลคือถ้ามองตามอันดับก่อนหลังของดาวเคราะห์แล้ว ดาวพฤหัสจะอยู่กึ่งกลางไม่ว่าจะมองมาจากดาวพุทธหรือดาวพลูโต ก็นับว่าเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าคิดครับ

แต่เราต้องไม่ลืมว่า Epic of Creation กล่าวถึงวงโคจรของ MARDUK ที่ผ่านดาวยักษ์สองดวงอย่าง ANSHAR และ KISHAR มาจนถึง TIAMAT ณ จุดที่ตำนานเรียกว่า Planet of the Cross ลงถ้าโคจรผ่าน ANSHAR กับ KISHAR (ดาวเสาร์กับดาวพฤหัส) มาได้ล่ะก็ MARDUK จะหมายถึงดาวเคราะห์สองดวงนี้ได้อย่างไรล่ะครับ จริงไหม?

สรุปแล้ว MARDUK น่าจะเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าคือดาวดวงไหน

ถ้าเราเชื่อตาม Enuma Elish ว่า MARDUK เป็นดาวเคราะห์ยักษ์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์โดยทิศทางในการเข้าต้องผ่านระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสล่ะก็ ทำไมเราจึงไม่เคยดาวเคราะห์ดวงนี้เลยนับตั้งแต่อารยธรรมโมเดิร์นแมนของพวกเราถือกำเนิดขึ้น ดาว MARDUK ไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงเล็กๆแถมยังสว่างออกปานนั้น ถ้ามันมีอยู่จริงนักดาราศาสตร์ก็น่าจะค้นพบไปนานแล้วสิน่า

คำตอบอยู่ในจารึกโบราณอีกเช่นกันครับ เนื่องจาก MARDUK มีวิถีการเดินทางที่ยาวไกลมาก ท้าวเธอโคจรผ่านห้วงลึกของอวกาศที่ไม่เคยมีดาวเคราะห์ดวงไหนโคจรไปถึง แถมย้ำอย่างชัดเจนครับว่าวงโคจรของ MARDUK กว้างและไกลกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆในระบบอย่าทาบกันไม่ติด อย่าลืมเสียว่าอารยธรรมโมเดิร์นของพวกเราเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่ถึงหมื่นปี หาก MARDUK ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายหมื่นปีพวกเราจะไปเห็นได้อย่างไรล่ะครับ

เพื่อให้คุณมองภาพได้ชัดเจนขึ้น ขอให้เปรียบเทียบ MARDUK/NIBIRU กับดาวหางสักดวง แล้วจะเข้าใจเองว่าทำไมตลอดเวลาหลายร้อยปีของมนุษย์ยุคใหม่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้เลย

หรือ Marduk / Nibiru จะเป็นดาวหางมิใช่ดาวเคราะห์?

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะพฤติกรรมตลอดจนวงโคจของ MARDUK ที่กล่าวถึงใน Epic of Creation นั้นมีลักษณะคล้ายดาวหางจริงๆครับ ทำไมจึงว่าแบบนั้น? ผมจะแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้แหละครับ ขอให้ทุกคนหยิบกระดาษขึ้นมาสักแผ่นแล้ววาดภาพตามผม โดยอันดับแรกให้กำหนดจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะเป็นดวงอาทิตย์เสียก่อน จากนั้นแทนตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นลักษณะคล้ายวงกลม ทีนี้คุณก็แทนที่ดาวนิบิรุลงไปในที่ว่างระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส วงโคจรของดาวดวงนี้จะมีลักษณะเป็นวงรีทวนเข็มนาฬิกา และคุณจะได้จุดสมมติสำคัญขึ้นมาสองจุดด้วยกันครับ คือจุดที่ดาวดวงนี้อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดและจุดที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ลักษณะดังภาพ

ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! 22139_1_display



MARDUK เป็นภาษาบาบิโลเนียนส่วน NIBIRU เป็นภาษาสุเมเรียนครับ ที่เค้าเอา MARDUK กับ NIBIRU มาเชื่อมโยงกันก็เพราะชาวบาบิโลเนียนรับสืบทอดความรู้ทางดาราศาสตร์จากชาวสุเมเรียนเป็นส่วนใหญ่ ในบันทึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ดวงหนึ่งซึ่งเดินทางมาจาก AN.UR (Heaven's base) อันหมายถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้นไปยัง E.NUN (Lordly Abode) ซึ่งหมายถึงดินแดนแถบกำไลสวรรค์

อันกำไลสวรรค์นี้ท่านที่อ่านบทที่แล้วคงอ๋อกันได้ว่ามันคือ Asteroid Belt ที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส คนโบราณเรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ว่า Planet of the Cross โปรดสังเกตว่าสัญลักษณ์ของมันถูกแทนด้วยกางเขนหรือกากบาท อันเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆศาสนาของคนโบราณ ทีนี้เมื่อดูจากภาพจะเห็นว่าตำแหน่งที่ดาวเคราะห์โคจรมาอยู่ในจุดที่ใกล้โลกที่สุด(Perigee)นั้นเทียบได้กับ E.NUN ส่วนจุดที่ดาวเคราะห์มาร์ดุคโคจรออกห่างโลกมากที่สุด (Apogee) จะเทียบได้กับ AN.UR อย่างพอดิบพอดี และวงโคจรของดาวเคราะห์ก็แทบจะเป็นวงรียาวเหยียด ซึ่งผ่านเข้ามาใกล้โลกในพื้นที่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส ดังภาพ

ล้มความคิดเก่าๆของเราไปได้เลย เมื่อระบบสุริยะมีทั้งหมด 12 ดวง ไม่ใช่ 9 !! Planetx_orbit_path1

มากไปกว่านั้น ชาวเมโสโปเตเมียโบราณถือเอาปรากฏการณ์ใหญ่ๆบนท้องฟ้าเป็นลางของการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย บอกเหตุการณ์สำคัญๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(โดยเฉพาะชะตาเมือง) การพบเห็น Nibiru สำหรับคนโบราณก็เข้าข่ายเดียวกันครับ
Lucifer
Lucifer
Admin

จำนวนข้อความ : 117
Points : 177
Join date : 28/03/2011
Age : 39

https://pandrift.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ